Academia Publishing 2019 : ปลูกเคลไร้ดินดีกว่าใช้ดินอย่างไร

บทนำ

สวัสดีคนรักสุขภาพทุกท่านครับ วันนี้เราจะมาพูดถึงงานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ว่าด้วยคุณประโยชน์ของเคล(Kale)ที่ปลูกแบบไร้ดินกันครับ งานวิจัยชิ้นนี้ถูกเผยแพร่โดย Academia Publishing ในปี 2562 ที่ผ่านมา โดยเป็นการทดลองปลูกเคลในระบบไฮโดรโปนิกส์(Hydroponics)แบบต่าง ๆ แล้วนำค่าสารอาหารที่ได้มาเปรียบเทียบกันเพื่อดูว่าการปลูกแบบใดให้สารอาหารสำคัญได้เยอะที่สุดครับ ซึ่งค่าสารอาหารที่เรานำมาเปรียบเทียบในงานวิจัยนี้ได้แก่ สารสกัด(Extractive substances), ฟลาโวนอยด์(Flavonoids), แทนนิน(Tannins), วิตามินซี(Vitamin C) และ เบต้าแคโรทีน(Beta-carotene)

ระบบที่ใช้ปลูกแบ่งได้เป็น 5 ประเภท คือ

  1. ไฮโดรโปนิกส์ทรงกระบอก(Cylindrical)
  2. ไฮโดรโปนิกส์แบบร่องน้ำ(Gully)
  3. ไฮโดรโปนิกส์แบบต่อเนื่อง(Continuous)
  4. ไฮโดรโปนิกส์แบบทั่วไป(Classic)
  5. ปลูกดิน(Soil culture)

 

นอกจากนี้ยังมีการให้สารละลายธาตุอาหาร ระหว่างวันประมาณ 6-20 ครั้ง(ขึ้นอยู่กับสภาพภูมิอากาศ) ในการปลูกแบบไฮโดรโปนิกส์ ส่วนการปลูกดินจะมีการใช้ศาสตร์ทางการเกษตรทุกรูปแบบมาช่วย อาทิ การเติมอากาศในดิน การกำจัดวัชพืช เพื่อให้ผลการทดลองสามารถเทียบค่ากัน โดยการทดลองนี้จะทำการเก็บเกี่ยวใบตั้งแต่ช่วง กรกฎาคมถึงตุลาคม ทีนี้เราลองมาดูผลการทดลองดีกว่าครับ

 

ผลการทดลอง

ตารางด้านบนนี้เป็นตารางที่แสดงน้ำหนัก ความสูง และความหนาของลำต้นตอนเก็บเกี่ยว ซึ่งสรุปได้ว่า การปลูกเคลด้วยระบบไฮโดรโปนิกส์ทุกรูปแบบ จะให้น้ำหนัก ความสูง และความหนาของลำต้นได้ดีกว่าการปลูกเคลในดิน โดยที่ การปลูกด้วยระบบไฮโดรโปนิกส์แบบร่องน้ำ(Gully) จะให้น้ำหนักที่ดีที่สุดที่ 719 กรัม/ต้น รองลงมาเป็นไฮโดรโปนิกส์ทั่วไป(Classic)ที่ 706 กรัม/ต้น ส่วนการปลูกเคลในดินจะให้น้ำหนักต่อต้นอยู่ที่ 400 กรัม/ต้น น้อยกว่าเกือบ 2 เท่าเลยครับ

ในด้านความสูงของลำต้น ระบบปลูกที่ทำให้เคลเติบโตได้ดีที่สุด คือ ระบบไฮโดรโปนิกส์ทั่วไป(Classic) มีความสูงลำต้นอยู่ที่ 41 เซนติเมตร รองลงมาคือระบบไฮโดรโปนิกส์แบบร่องน้ำ(Gully) และแบบทรงกระบอก(Cylindrical) โดยมีความสูงของลำต้นอยู่ที่ 37 และ 33 เซนติเมตร ตามลำดับ ในขณะที่การปลูกเคลในดินให้ความสูงเพียงแค่ 26 เซนติเมตร

ในด้านความหนาของลำต้น ระบบปลูกที่ทำได้ดีที่สุด คือ ระบบไฮโดรโปนิกส์แบบร่องน้ำ(Gully) โดยมีความหนาของลำต้นอยู่ที่ 18 มิลลิเมตร หรือ 1.8 เซนติเมตรครับ รองลงมาเป็นระบบไฮโดรโปนิกส์แบบทั่วไป แบบร่องน้ำ และแบบทรงกระบอก จะมีความหนาของลำต้นอยู่ที่ 17, 15 และ 15 เซนติเมตร ตามลำดับ ซึ่งการปลูกเคลในดินจะมีความหนาของลำต้นเพียง 13 เซนติเมตรเท่านั้นครับ

ในส่วนของสารอาหาร จะทำการคิดหน่วยเป็น% และกรัม/ต้น โดยผลการทดลองพบว่า การปลูกเคลในระบบไฮโดรโปนิกส์ทุกรูปแบบสามารถจะให้เพิ่มค่าสารที่สกัด(Extractive substances) ได้ 1.2-1.5 เท่า ของการปลูกเคลในดิน ในขณะที่แทนนิน(Tannin) สารที่ให้รสฝาด และฟลาโวนอยด์(Flavonoid) ที่เป็นสุดยอดสารต้านอนุมูลอิสระ มีค่าใกล้เคียงกันทั้งการปลูกในระบบไฮโดรโปนิกส์หรือปลูกดิน

ปริมาณวิตามินซีที่พบในผักเคลที่ปลูกด้วยระบบไฮโดรโปนิกส์มีค่าสูงกว่าผักเคลที่ปลูกในดินโดยเฉลี่ยประมาณ 1.3-1.5 เท่า ในทางกลับกันเบต้าแคโรทีนกลับถูกพบในผักเคลที่ปลูกโดยใช้ดินมากที่สุดที่ 13.7% บวกลบ 0.42%

ในส่วนของการทดสอบหาสารกัมมันตภาพรังสีในผักเคลพบว่าผักเคลที่ปลูกในดินจะมีสารกัมมันตภาพรังสีที่สูงกว่าผักเคลในระบบไฮโดรโปนิกส์ โดยมีสารสตรอนเทียม 90(Strontium-90) อยู่ที่ 17.6 เบคเคอเรลต่อกิโลกรัม (Bq/Kg) และสารซีเซียม 137(Caesium-137) อยู่ที่ 11.9 เบคเคอเรลต่อกิโลกรัม แต่ไม่ใช่ว่าตัวเลขนี้สูงหรืออะไรนะครับ เพราะตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข เมื่อวันที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2554 เรื่องมาตรฐานอาหารที่ปนเปื้อนสารกัมมันตรังสี กำหนดให้ “อาหารมีการปนเปื้อนซีเซียม-134 และซีเซียม-137 รวมกันไม่เกิน 500 เบคเคอเรลต่อกิโลกรัม (Bq/kg) หรือ เบคเคอเรลต่อลิตร (Bq/l)” หมายความว่า เราต้องกินเคลมากกว่า 28 กิโลกรัม/วัน ถึงจะเริ่มเป็นอันตรายจากสารกัมมันตรังสีเหล่านี้ครับ แต่ถ้ามีน้อยก็อุ่นใจกว่าถูกไหมครับ

 

บทสรุป

จากผลการทดลองข้างต้นสามารถสรุปได้ว่าการปลูกเคลด้วยระบบไฮโดรโปนิกส์ในรูปแบบต่าง ๆ ดีกว่าการปลูกเคลในดิน เนื่องจากการปลูกเคลในระบบไฮโดรโปนิกส์ สามารถช่วยเพิ่มค่าปริมาณสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายและสารสกัดได้อย่างมีนัยสำคัญ อีกทั้งยังช่วยเพิ่มขนาด น้ำหนักและความหนาของลำต้น ส่งผลให้ผู้ที่ปลูกเคลในระบบไฮโดรโปนิกส์ใช้เวลาน้อยกว่าเพื่อให้ได้ผักเคลที่โตเต็มที่ และที่สำคัญผู้บริโภคยังได้รับผักที่มีคุณค่าทางสารอาหารสูงและลดความเสี่ยงในส่วนของสารกัมมันตภาพรังสีอีกด้วยครับ หวังว่างานวิจัยนี้จะเป็นประโยชน์กับผู้อ่านทุกท่านครับ แล้วพบกันในงานวิจัยอื่น ๆ ครับ

ปล. สำหรับใครที่ต้องการทานผักเคลที่ปลูกในระบบ Plant Factory สด สะอาด ปลอดภัย คุณค่าทางโภชนาการสูง คลิกที่ปุ่มด้านล่างได้เลยครับ

 

Table of Contents

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *