7 สุดยอดสายพันธุ์ผักเคล

7 สุดยอดสายพันธุ์ผักเคล

หลังจากที่เราได้พูดถึงคุณประโยชน์ของผักเคลกันไปในบทความก่อนหน้าแล้ว หลายคนอาจจะเข้าใจผิดคิดว่าผักเคล(Kale) หรือคะน้าใบหยิกมีอยู่สายพันธุ์เดียว ดังนั้นวันนี้ผมได้รวบรวมข้อมูลของ 7 สุดยอดสายพันธุ์ผักเคลมาให้ทุกท่านได้รู้จักกันครับ ซึ่งสายพันธุ์ที่ว่าประกอบไปด้วย

 

Curly Kale

เริ่มต้นกันที่ผักเคลใบหยิกทั่วไป ผักเคลประเภทนี้มีลักษณะใบที่ใหญ่ มีขอบหยัก ลำต้นยาว สีของใบมีตั้งแต่เขียวเข้ม น้ำเงินไปจนถึงแดงอมม่วงเลยครับ โดยถ้าเป็นสีน้ำเงินเราจะเรียกเขาว่า Dwarf Blue Curled Kale หรือ Vate Blue Curled Kale หากเป็นสีแดง เราจะเรียกว่า Scarlet Curly Kale ซึ่งเคลใบหยิกทั่วไปนี้จะมีเอกลักษณ์พิเศษ คือ มีกลิ่นฉุนและรสชาติมีความขมปนหวานอยู่หน่อย ๆ เป็นพืชที่ต้องการแสงแดงจัด ชอบอากาศหนาว ปลูกได้ตลอดทั้งปี

การนำเคลใบหยิกไปทำอาหารส่วนใหญ่มักใช้กระเทียมและน้ำมันมะกอกมาผัดร่วมกันเพื่อลดความขมของเคล หรือหากใครอยากทานเป็นสลัดสามารถนำเคลใบหยิกไปจัดคู่กับผลไม้รสหวานอมเปรี้ยวนิด ๆ อย่างสตรอว์เบอร์รี่ และ น้ำสลัดเลมอนทาฮินี(lemon-tahini) เพื่อปรับให้รสชาติสมดุล และที่สำคัญคือเคลใบหยิกทัวไปสามารถนำมาปั่นเป็นสมูทตี้ หรือผสมคู่กับผลไม้อื่นเพื่อสุขภาพที่ดีได้ด้วยครับ

 

Lacinato Kale

เคลสายพันธุ์นี้เป็นเคลที่มีชื่อเรียกหลากหลายมากที่สุด บางคนเรียกเคลไดโนเสาร์(Dinosaur Kale) เพราะว่าหน้าตาดันไปคล้ายไดโนเสาร์พันธุ์อะแพโทซอรัส(Apatosaurus)หรือไดโนเสาร์คอยาว ชื่ออื่น ๆ ที่มักจะนิยมเรียกได้แก่ Italian Kale, Tuscan Kale, flat back kale หรือ black Tuscan palm จุดเด่นของเคลสายพันธุ์นี้อยู่ตัวใบที่ยาว ไม่หยิกหงิกงอเหมือนสายพันธุ์ปกติ ใบมีสีเขียวแกมน้ำเงินเข้ม เป็นอาหารหลักของชาวอิตาเลี่ยนมานาน รสชาติออกมันเคี้ยวเพลินครับ

เคลไดโนเสาร์นี้เหมาะกับมื้ออาหารในช่วงฤดูหนาวอย่างมาก โดยเฉพาะการกินคู่กับซุปถั่วเลนทิลร้อน ๆ จะยิ่งเพิ่มความอร่อยเป็นสิบเท่าเลยครับ แต่ถ้าเป็นประเทศไทยเราผมว่าเอามาคลุกด้วยน้ำมันมะกอกแล้วจับคู่กับมันฝรั่งหวานหรือพริกก็อร่อยไม่แพ้กัน แถมดีต่อสุขภาพด้วยครับ

 

Ornamental Kale

เคลที่เรากำลังจะพูดถึงนี้เป็นสายพันธุ์ที่ขึ้นชื่อว่ามีสีสันสวยงามที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้ เพราะมีสีไล่ไปตั้งแต่เขียว ชมพู ม่วง แดง และด้วยความสวยนี้เองส่งผลให้เคลพันธุ์นี้ถูกนำไปประดับจานอาหารหรือนำไปปลูกในสวนเพื่อความสวยงาม มากกว่าการนำมาประกอบอาหาร แต่ถึงอย่างไรเราสามารถรับประทานได้ แต่ถ้าให้แนะนำผมคงบอกได้ว่าอย่าดีกว่า เพราะว่ารสชาติแบบนี้ควรจะนำไปประดับถูกต้องที่สุดแล้วนั่นเองครับ

แต่ถ้าใครอยากที่จะลองกินจริง ๆ ผมแนะนำว่าให้ซอยบาง ๆ แล้วใส่ลงไปในซุปหรือสตูว์ไก่ น่าจะได้อยู่ครับ แต่ถ้าหวังจะกินแบบผักสลัดผมแนะนำว่าให้หยุดไว้เพียงความคิดพอแล้วครับ

 

Red Russian Kale

ถึงชื่อพันธุ์จะบอกว่าเป็นเคลแดง แต่จริง ๆ แล้วไม่ได้เป็นเคลสีแดงทั้งต้นทั้งใบแต่แดงเฉพาะในส่วนของลำต้นนั่นเองครับ ส่วนใบอาจจะมีสีแดงแซมมาบ้างเล็กน้อย จุดเด่นของเคลแดงนี้ คือ รสชาติจะมีความหวานกรอบ ไม่เหมือนเคลพันธุ์อื่น ๆ ทำให้คนที่อยากเริ่มลองทานผักสลัดมักเริ่มกันที่เคลแดงนี้เป็นอันดับต้น ๆ เลยครับ

ในส่วนของการประกอบอาหาร เคลประเภทนี้มักจะถูกกินดิบหรือกินเป็นสลัดมากที่สุด บางคนอาจนำใบอ่อนมากิน หรืออาจรอจนโตเต็มที่รสชาติที่ได้จะคนละรสกันเลย แต่ถ้าใครไม่อยากกินเป็นสลัดผมแนะนำให้ลองนำเคลแดงมาจับคู่กับชีสที่ทำจากนมแพะและเกล็ดขนมปังดูครับ

 

Chinese Kale

ผมว่าเคลสายพันธุ์นี้ทุกคนน่าจะรู้จักกันอยู่แล้ว บ้านเราเรียกว่าผักคะน้านั่นเองครับ ซึ่งต่างชาติเขาคงแยกไม่ออกว่าคะน้าไทย ฮ่องกง จีนแตกต่างกันอย่างไรเขาเลยเรียกรวม ๆ เลยว่า คะน้าจีน ซึ่งนับเป็นเคลประเภทหนึ่งเหมือนกัน แต่จะค่อนข้างแตกต่างจากพันธุ์อื่นตรงที่ ใบมันดันไม่หงิกเลย ฝรั่งเขามองว่ามันเหมือนผักโขมมากกว่าอีก จุดเด่นของคะน้าประเภทนี้ คือ ตัวใบมีลักษณะมันวาว ก้านหนาเหมือนบรอกโคลี

การนำไปประกอบอาหารผมคงไม่ต้องพูดเยอะ เพราะคะน้าพันธุ์นี้เรียกได้ว่าทำได้แทบทุกอย่าง ทั้งผัด ต้ม นึ่ง จะกินคู่กับเนื้อหรือผักอื่น ๆ ก็เข้ากันทั้งนั้น ซึ่งบ้านเรานับได้ว่ามีการประยุกต์ใช้คะน้าได้เลเวลตันไปเรียบร้อยแล้วนั่นเอง

 

Redbor Kale

เคลลูกผสมสูงประมาณ 2 ฟุต ที่มีความสวยงามจากสีแดงอมม่วงของตัวใบและก้าน นอกจากนำไปกินเป็นสลัดแล้ว เคลประเภทนี้ยังใช้ประดับจานหรือปลูกเพื่อเพิ่มความสวยงามให้สวนได้อีกด้วย จุดเด่นที่เห็นได้ชัด คือ สีแดงอมม่วงและใบมีลักษณะเป็นพุ่มหยัก ทำให้ดูแล้วมีความหนาครับ

ส่วนใหญ่คนรับประทานเร้ดบอร์แบบผักสลัดโดยทำการคลุกเคล้าให้เข้ากับน้ำมันมะกอก พร้อมผักชนิดอื่น หรืออาจนำไปคั่วและปิ้งเพื่อให้มีกลิ่นหอมน่ารับประทานมากยิ่งขึ้นก็ได้ นอกจากนี้ยังสามารถนำไปจับคู่กับฟักทองบัตเตอร์นัทย่างเพื่อให้เกิดความตัดกันระหว่างความขมกับความหวานก็น่าลองครับ

 

Siberian Kale

เคลพันธุ์สุดท้ายเป็นเคลที่ชอบอากาศหนาวจัด ส่วนใหญ่มักปลูกเป็นพืชเมืองหนาวทางตอนใต้ของสหรัฐอเมริกา ถ้ามาปลูกในไทยน่าจะไม่รอดเพราะอากาศบ้านเราที่ร้อนมาก เอกลักษณ์ของเคลสายพันธุ์นี้ คือ ใบที่มีขนาดใหญ่มากเมื่อเทียบกับพี่น้องเคลสายพันธุ์อื่น ใบมีสีเขียวออกไปทางซีด ๆ ตามลักษณะพืชเมืองหนาวครับ

เคลพันธุ์นี้หากอยากเอามารับประทานผมว่าควรจะกินแบบสุกดีกว่า โดยเราสามารถนำเคลไซบีเรียไปผัดด้วยหัวหอมหรือหอมแดงเพื่อเพิ่มความหอมและใส่เบคอนลงไปเพื่อเพิ่มรสสัมผัสของเนื้อก็จะเป็นการผสมที่ลงตัวมาก ๆ เลยครับ

อ่านมาถึงตรงนี้หลายคนคงมีคำถามว่า แล้ว 7 สายพันธุ์นี้มันสุดยอดตรงไหน ผมมีคำตอบมาให้ครับ 7 สายพันธุ์นี้สุดยอดตรงที่ แม้ว่ารสชาติจะต่างกัน มีทั้งขมและหวาน แต่คุณค่าทางโภชนาการของทั้ง 7 สายพันธุ์นี้จัดได้ว่าสูงมาก ๆ เมื่อเทียบกับผักประเภทอื่นนั่นเองครับ แต่อย่างไรก็ตามหากใครที่สนใจในผักเคลอย่าลืมเลือกแหล่งปลูกที่น่าเชื่อถือและสะอาดด้วยนะครับ ไว้เจอกันในบทความสุขภาพเรื่องอื่น ๆ ครับ

ปล.สำหรับใครที่ต้องการทานผักเคล หนึ่งใน Superfood จากแหล่งที่เชื่อถือและไว้ใจได้ คลิกที่ปุ่มด้านล่างได้เลยนะครับ

Table of Contents

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *